เดนทิสเต้ เปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 ชิงตลาด Oral Care ไทย-ต่างประเทศ


เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาด Oral Care หรือผลิตภัณฑ์สุขอนามัยช่องปากของประเทศไทยมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 เติบโตประมาณ 6% แบ่งเป็นยาสีฟันประมาณ 10,500 ล้านบาท แปรงสีฟัน 3,000-4,000 ล้านบาท น้ำยาบ้วนปาก 2,000-2,500 ล้านบาท และไหมขัดฟันที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมทั้งหมดคาดว่าในปี 2568 จะเติบโตไม่มากนักเพียง 3-4% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจซบเซา ส่งผลต่อกำลังซื้อทำให้ผู้บริโภคหันไปใช้ของที่ราคาถูกลง

เดนทิสเต้ เปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 ชิงตลาด Oral Care ไทย-ต่างประเทศ

สำหรับเดนทิสเต้ทำตลาดอยู่ใน 27 ประเทศทั่วโลก ในปี 2568 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสองหลัก (Double Digit) มุ่งเน้นขยายตลาดแปรงสีฟัน (จาก Market Share 4% ตั้งเป้า 8%) และน้ำยาบ้วนปาก (จาก 0.5% ตั้งเป้า 2%) รวมถึงสเปรย์ระงับกลิ่นปากที่โตสูงถึง 30% และมีเป้าหมายก้าวเป็นผู้นำในเอเชียในอนาคต

โดยครึ่งหลังของปี 2568 เดนทิสเต้ ประกาศกลยุทธ์ “DEN” ที่เน้นความยั่งยืนและส่งเสริมการมีสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง ได้แก่  

1. Driving Sustainability ขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยการคอลแลปส์กับแบรนด์ภิพัชรา ส่งเสริมการนำหลอด

ยาสีฟันและแปรงสีฟันมาแลกผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้ฟรีทั่วประเทศ ก่อนนำไปผลิตเป็นแฟชั่นไอเทมรักษ์โลก สร้างสรรค์โดยภิพัชรา ได้ตั่งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

2. Elevating DENTISTE’ Exclusive Experience ร่วมกับการบินไทย ส่งชุดผลิตภัณฑ์ DENTISTE’ Oral Care Set รุ่น Limited Edition สร้างประสบการณ์ดูแลช่องปากสุดพิเศษให้กับผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสและชั้นธุรกิจ รวมกว่า 3.8 ล้านชุดใน 18 เดือน บนเส้นทางระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (10 มิถุนายน 2568) เป็นต้นไป

3. New Personalized Subscription Program โปรแกรมการสมัครสมาชิกของเดนทิสเต้ถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยจะได้รับผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการส่วนบุคคลส่งตรงถึงบ้านในราคาพิเศษ โดยลูกค้า 100 ท่านแรก จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ ลดถึง 90% และลูกค้าทั่วไปจะได้รับส่วนลด 50% ซึ่งมีทั้งช่วงทดลอง และแบบแพ็คเกจรายปี

เดนทิสเต้ เปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 ชิงตลาด Oral Care ไทย-ต่างประเทศ

ขณะที่ปี 2567 ผลิตภัณฑ์ Mouth Spray ยังเติบโตเป็นอันดับหนึ่งของตลาด สอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภคไทยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น ถือเป็นผู้นำตลาดอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 10% และเติบโตด้านยอดขายอันดับหนึ่งในกลุ่มตลาดพรีเมียมติดต่อกันตั้งแต่ปี 2565–2568 ในอัตรามากกว่า 20% ทุกปี

เภสัชกร ดร.แสงสุข กล่าวว่า จากตัวเลข GDP ไทยที่ลดลงในปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทำให้หันมาเลือกซื้อของถูกมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ Gen Z กลับเป็นกลุ่มที่ยอมจ่ายกับเรื่อง กลิ่นปากและฟันขาว ขณะที่ Gen X เริ่มกังวลเรื่องรักษารากฟัน ทำให้การทำ Marketing นำเสนอสินค้าต้องปรับไปตามแต่ละกลุ่มอายุ และสิ่งต้องทำคือสร้าง value ให้กับสินค้ามากขึ้น 

เช่น การแถมสินค้าเพื่อกระตุ้นให้ทดลองใช้ พร้อมทั้งนำเสนอรูปแบบ Subscription โดยเฉพาะสำหรับลูกค้าต่างประเทศและในประเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ผลิตภัณฑ์ครบวงจร (ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, ไหมขัดฟัน, น้ำยาบ้วนปาก, สเปรย์)

เดนทิสเต้ เปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 ชิงตลาด Oral Care ไทย-ต่างประเทศ

“สำหรับเดนทิสเต้ นอกจากจะดำเนินธุรกิจในประเทศแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจในต่างประเทศมากว่า 10 ปี ครอลคลุมตลาดในเอเชีย และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย นิยมซื้อสินค้าของเดนทิสเต้เป็นของฝากติด 1 ใน 10 ของสินค้าที่หิ้วกลับ ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น โดยสัดส่วนยอดขายในประเทศและต่างประเทศประมาณ 50:50 แต่ปัจจุบันยอดขายต่างประเทศเริ่มแซงหน้าในประเทศไปแล้ว และมีความสนใจที่จะบุกตลาดละตินอเมริกาเพิ่ม เช่น เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น”

ด้าน นายศิวกร พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากสถิติของคนไทยพบเผชิญปัญหาฟันผุสูงถึง 96% ขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคไทยและทั่วโลก จะเกี่ยวกับปัญหากลิ่นปากที่บ่งบอกถึงสุขภาพ 2. โรคเหงือก และที่พบบ่อยวัย 40 ปีขึ้นไป ส่วนความต้องการมีฟันขาวยังตอบโจทย์ความต้องการของทุกช่วงวัย  

เดนทิสเต้ เปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 68 ชิงตลาด Oral Care ไทย-ต่างประเทศ

นายกิตติพงษ์ สารสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าและการตลาด บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดนทิสเต้ยังได้จับมือการบินไทย เปิดตัว DENTISTE’ Oral Care Set สุดเอ็กซ์คลูซีฟกว่า 3.8 ล้านชุด ให้บริการผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจ (Royal Silk) ในเที่ยวบินเส้นทางสำคัญทั่วโลก เช่น ลอนดอน ปารีส มิวนิก ญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งและมิลาน ต่อเนื่องเป็นเวลา 18 เดือน เริ่ม 11 มิถุนายน 2568 นี้ คาดว่าความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างและสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีในระดับสากลให้กับทั้งการบินไทยและเดนทิสเต้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญ สอดคล้องหลัก ESG เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย สนับสนุนให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี ลดฟันผุต่ำกว่า 50% พร้อมชูแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียมของไทยขึ้นแท่นผู้นำอันดับหนึ่งของเอเชีย



Source link