เจาะลึก SYSTEMA แบรนด์อันดับ 1 ในญี่ปุ่น สู่ความแข็งแกร่งในไทยมาตลอด 25 ปี ที่ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อใจ และใช้จริง




SYSTEMA แบรนด์อันดับ 1 ในญี่ปุ่น สู่ความแข็งแกร่งในไทยมาตลอด 25 ปี ที่ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อใจ และใช้จริง (วิเคราะห์)

ถ้าเอ่ยถึงแปรงสีฟันที่มีคุณสมบัติ Soft & Slim เชื่อว่าทุกคนต่างนึกถึง SYSTEMA (ซิสเท็มมา) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่นที่ “ริเริ่ม บุกเบิกและคิดค้น” นวัตกรรมขนแปรง Soft & Slim ที่มีลิขสิทธิ์ขนแปรงปลายเรียวแหลม นุ่ม สปริงตัวได้ดีเยี่ยม ครั้งแรกของโลก

ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน ขณะนั้นตลาดแปรงสีฟันในประเทศไทยยังคงมีเพียงขนแปรงลักษณะปลายตัดตรง ปลายกลมมน หลังบริษัทไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวแบรนด์SYSTEMAให้เป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2542 เรียกได้ว่าขนแปรง Soft & Slim ได้เข้ามาพลิกตลาด เปลี่ยนทั้งการรับรู้และพฤติกรรมการเลือกใช้แปรงสีฟันของผู้บริโภคจากปลายตัดตรง แข็ง เปลี่ยนเป็น ปลายเรียวแหลม นุ่ม แทน

นวัตกรรมทันตเทคโนโลยีที่มาจากความใส่ใจและไม่หยุดพัฒนาตลอด 25 ปีของSYSTEMAพาแบรนด์ประสบความสำเร็จทั้งในมุมของยอดขาย ที่กลายเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดแปรงสีฟัน Upper Premium ที่ครองส่วนแบ่งกว่าครึ่ง และในมุม Branding ที่สร้างความเชื่อมั่นด้วยการได้รับการันตีเป็นแปรงสีฟันที่ผู้เชี่ยวชาญเลือกใช้และพึงพอใจในคุณภาพ 262 คน จาก 274 คน จากผลสำรวจทันตแพทย์ ผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการ ครั้งที่ 116 ทันตแพทย์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา

ตลอด 25 ปี SYSTEMAไม่เคยหยุดพัฒนาแปรงสีฟันให้ตอบโจทย์ทุกช่องปากของคนไทย โดยคิดค้นแปรงสีฟันไปแล้วมากกว่า 10 รุ่น เพื่อให้ตอบโจทย์ความครบทุกมิติทั้งด้านคุณภาพและราคา

Marketeer มองว่า จุดแข็งสำคัญที่ทำให้SYSTEMAประสบความสำเร็จเป็นเบอร์ 1 ในตลาด และได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคคนไทยต่อเนื่องและยาวนานนั้นคือ

1. การเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรม ขนแปรง Soft & Slim ที่มีขนแปรงปลายเรียวแหลม นุ่ม สปริงตัวได้ดี เยี่ยม ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลก ถือว่าเป็นการสร้าง Big Change การเลือกใช้แปรงสีฟันของคนไทย เมื่อ 25 ปีก่อน

2. การไม่หยุดค้นคว้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาและออกแปรงสีฟันให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ทุกสุขภาพช่องปากของคนไทย

ยกตัวอย่าง แปรงสีฟันSystema Soft & Slim สุดยอดขนแปรงปลายเรียวแหลม นุ่ม และ ยืดหยุ่น พร้อมสปริงตัวดีเยี่ยมรุ่นที่ขายดีอันดับ 1 ของSYSTEMAที่มาพร้อมขนแปรงเข้าซอกซอนทำความสะอาดได้ลึกถึงร่องเหงือก มี 3 ขนาดหัวแปรงให้เลือกซื้อให้เหมาะกับขนาดช่องปากคนไทย ทั้งยังมีความนุ่มให้เลือกถึง 2 ระดับ

แปรงสีฟันรุ่นใหม่ล่าสุด Systema Slim TEQ นวัตกรรมแปรงขจัดพลัคจากญี่ปุ่น หัวแปรงสลิมที่บางลง 40%** หรือบางเพียง 3.0 mm ช่วยขจัดคราบพลัคซอกซอน สะอาดลึกถึงฟันซี่ในสุด ด้วยขนแปรงปักแบบ V-CROSS PATTERN ช่วยเพิ่มพลังขัดขจัดคราบพลัคที่ร่องเหงือกได้มากกว่า 85%*

แปรงสีฟัน Systema OD. นวัตกรรมแปรงเพื่อคนจัดฟันโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยีขนแปรง 2 ระดับ รูปทรงตัว V ช่วยทำความสะอาดเศษอาหารบริเวณแบร็กเก็ตและใต้ลวดเหล็กจัดฟัน ขนนุ่ม ไม่เจ็บเหงือก

3. การต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากอื่น ๆ นอกเหนือจากแปรงสีฟันแล้ว SYSTEMAยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากประเภทอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ยาสีฟันเนื้ออณูโฟม ที่ทำความสะอาดได้ล้ำลึกและทั่วถึง มาพร้อมกับฟลูออไรด์ 1,500 PPM ซึ่งเป็นปริมาณฟลูออไรด์มากที่สุดที่ใส่ได้ในตลาด น้ำยาบ้วนปาก ที่ไม่รุนแรง ไม่เผ็ด ไม่แสบปาก กับ 0% แอลกอฮอล์ บ้วนง่าย สบายปาก และไหมขัดฟัน ที่เข้าทุกซอกได้อย่างนุ่มนวล เป็นต้น

4. การทำการตลาดและการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอด 25 ปี SYSTEMAสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภคผ่านการสื่อสารแบรนด์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การรณรงค์ให้คนเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก ๆ 3 เดือน รวมไปถึงแคมเปญการตลาดต่าง ๆ

ล่าสุดกับการส่งเสริมให้คนไทยตระหนักและเห็นความสำคัญในการดูแลช่องปาก เพราะช่องปากดี = สุขภาพที่ดี ในแคมเปญ #วันเปลี่ยนแปรง ขอบคุณคนไทยที่เชื่อมั่นและไว้วางใจในคุณภาพให้ SYSTEMA ดูแลสุขภาพช่องปากมาอย่างยาวนาน ด้วยการแจกแปรงสีฟัน ฟรี! 10,000 ด้าม มูลค่ารวมกว่า 630,000 บาท ซึ่งแคมเปญได้กระแสตอบรับดี และที่สำคัญสามารถสร้าง Awareness ให้คนไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของช่องปากดี = สุขภาพที่ดี มากขึ้น

ทั้งหมดนี้คือสูตรการสร้าง Brand Love ที่ทำให้ SYSTEMA กลายเป็นแบรนด์แปรงสีฟันที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อใจและใช้จริง มากกว่านั้นคือ ความมั่นใจจากผู้บริโภค และการได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีสุขภาพช่องปากที่ดี สุขภาพร่างกายดีมาตลอด 25 ปี

#SYSTEMA #Systema25Years #แปรงที่ผู้เชี่ยวชาญใช้จริง #รุกปัญหาช่องปาก


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล

อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที





Source link