กร สุริยพันธุ์ เงินเดือน 8 พัน สู่ธุรกิจพันล้าน ศึกษาผู้นำยาสีฟันเทพไทย


ถ้าคุณมีจุดเริ่มต้นที่เงินเดือนหลักพัน จะมองเป้าหมายในชีวิตต่อไปอย่างไร บางคนอาจจะลองสู้ต่อเพื่อยกระดับเงินเดือนให้สูงขึ้น ส่วนบางคนอาจจะลองหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง

สำหรับ ‘กร สุริยพันธุ์’ หลังจากเรียนจบปริญญาตรี แม้จะมีความฝันอยากเป็นวิศวกรก็จริง แต่เขาก็ต้องเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานซ่อมสายโทรศัพท์ ได้เงินเดือนเพียงแค่ 8,000 บาทเท่านั้น

“เราไม่ได้เป็นเถ้าแก่ หรือเป็นลูกผู้บริหารมาแต่ไหนแต่ไร คือพ่อแม่ไม่ได้สร้างมาแต่เริ่มนะครับ” กรเล่า

กร สุริยพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทพไทยโปรดัคท์ จำกัด

แต่จากนั้นชะตาชีวิตพลิกผัน เขาลาออกจากงานของตัวเอง เพื่อช่วยครอบครัวทำสินค้าโอทอป ซึ่งเป็นยาสีฟันสมุนไพร

จากที่มียอดขายหลักร้อยต่อวัน ในที่สุดยาสีฟันของกร สุริยพันธุ์ ก็ก้าวกระโดด และปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจระดับพันล้านไปเรียบร้อยแล้ว

ในทุกวันนี้ “ยาสีฟันเทพไทย” ของเขา ไม่ใช่แค่สินค้าโอทอปอีกต่อไป แต่มีวางขายในรูปแบบโมเดิร์นเทรด นั่นคือตามห้างสรรพสินค้า, ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไปแล้ว

เขายกระดับแบรนด์ของตัวเอง ให้ขายดีในระดับพันล้านได้อย่างไร ในบทสัมภาษณ์ Tomorrow เราจะไปทำความรู้จักกับ กร สุริยพันธุ์ กรรมการผู้จัดการของแบรนด์ยาสีฟันเทพไทย ให้ดีขึ้น

จุดเริ่มต้นของแบรนด์

ครอบครัวสุริยพันธุ์ มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้ทั้งบ้านได้รับผลกระทบ จนคุณแม่ของกร ต้องบินลงมาหางานทำที่หาดใหญ่ เพื่อหาช่องทางในการประกอบอาชีพ

ตัวกร ตอนแรกยังอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่หลังเรียนจบมัธยมจากโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ที่ศาลายา ปวช. อิเล็กทรอนิกส์จากเทคโนโลยีสยาม เขาก็ย้ายลงไปที่หาดใหญ่เพื่ออยู่กับแม่

หลังจากนั้น เขาไปเข้าทำงานที่กับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ TRUE กินเงินเดือน 8,000 บาท โดยทำหน้าที่ปีนเสาไฟ เช็กเครือข่ายสัญญาณมือถือ ซึ่งความฝันของกรในวัยเด็ก คืออยากทำงานเกี่ยวกับอีเล็กทรอนิกส์ ณ จุดนั้น เขาเองยังไม่คิดเรื่องการเปิดกิจการของตัวเอง

ในเวลาเดียวกัน คุณสิริกร ชิวปรีชา คุณแม่ของกร ก็ทำงานหลายชนิดเช่นเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านอาหาร และ พนักงานล้างจาน เป็นต้น โดยเธอมีเป้าหมายคือหาเงินส่งเสียลูกให้เรียนจบมหาวิทยาลัยให้ได้

ช่องทางทำธุรกิจ ของสิริกร มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ โดยครอบครัวสุริยพันธุ์นั้น มีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่แล้ว และที่บ้านก็ทำยาสีฟันใช้กันเอง วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านเกิดอาการปวดฟัน สิริกรจึงเอายาสีฟันสมุนไพรทำเองให้ลองใช้ โดยบอกว่าแปรงให้สะอาดแล้วเอายาสีฟันอุดจุดที่ปวดฟันไว้ประมาณ 10 นาที ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้

จากนั้นเพื่อนบ้านหายไปสามวัน พอกลับมาก็บอกว่า ได้ผลดีมาก และแนะนำให้คุณแม่ของกรทำขาย ซึ่งเธอก็เชื่อ จึงตัดสินใจกำเงิน 500 บาทที่ตัวเองมี ซื้ออุปกรณ์มาผลิตแบบง่ายๆ โดยใช้วิธีกวนใส่กะละมัง จากนั้นก็แบ่งใส่ตลับ แล้วหิ้วตะกร้าไปขายตามตลาดนัด

ปัญหาคือในเรื่องการขาย มันทำได้ “ยาก” เพราะไม่มีใครอยากจะเสี่ยงใช้ยาสีฟันที่ไม่รู้จัก “คุณแม่ใช้เทคนิคเปิดให้ดมก่อน และอธิบายเรื่องสรรพคุณ แต่ผู้บริโภคเขาก็จะคิดว่ามันเป็นสินค้าอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ชื่อแบรนด์ด้วยซ้ำ”

จากนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อสิริกรหิ้วยาสีฟันใส่ตะกร้า แล้วเดินผ่านที่ห้างไดอาน่า ปรากฎว่า ในตัวห้างมีจัดงานขายสินค้าโอทอปอยู่ สิริกรก็เลยอยากรู้ว่า ทำอย่างไร ถึงจะเอายาสีฟันของตัวเองมาขายในงานแบบนี้ได้ ก็ได้คำตอบคือ ต้องพัฒนาแบรนด์ให้เป็นสินค้าท้องถิ่นก่อน

นั่นทำให้ในปี 2547 สิริกร เริ่มทำแพ็กเกจจิ้งให้สวยงามขึ้น แล้วตั้งชื่อยาสีฟันของตัวเองว่า “รักษ์ไทย” จากนั้นก็ติดต่อไปที่อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ขอเป็นสินค้าโอทอปประจำชุมชน

ปัญหาคือชื่อ “รักษ์ไทย” ที่ใช้งานในช่วงแรก มีคนจดทะเบียนการค้าไปแล้ว ดังนั้นสิริกรจึงตัดสินใจ จดชื่อใหม่คือ “เทพไทย” โดยมีแนวคิดว่า นี่คือสมุนไพรที่ฟ้าประทานมาให้คนไทยใช้ คือแม้จะดูเว่อร์วัง แต่คำว่าเทพไทยก็ติดหู ทำให้คนจดจำได้ เพราะเรียกง่ายมาก

ส่วนรูปแบบการขายนั้น สิริกร จะทำคนเดียวแบบครบวงจร ตั้งแต่เริ่มผลิต ผลิตเสร็จเอาไว้วางขายที่งานโอทอปเก็บเงินด้วยตัวเอง สินค้าหมดก็มาผลิตใหม่ แล้วไปขายต่อ วนไปวนมาอยู่อย่างนี้

คือสินค้านั้นมีคุณภาพก็จริง ใครใช้ก็บอกต่อกัน แต่ด้วยความที่ขายกันในวงแคบๆ แค่งานโอทอป ทำให้ยอดขายอยู่ในระดับประคองตัว ไม่ได้ร่ำรวย แม้จะเปิดมาแล้วหลายปีก็ตาม

วิเคราะห์ จุดแข็ง-จุดอ่อน ของตัวเอง

หลังจากกร เรียนจบปวช. อิเล็กทรอนิกส์จากเทคโนโลยีสยาม ได้เริ่มทำงานเป็นพนักงานซ่อมสายโทรศัพท์ กรตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วไปช่วยกิจการของที่บ้านอย่างเต็มตัว 1-2 ปี และเรียนต่อปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ คือแม้เขาจะไม่มีความรู้เรื่องการขาย หรือเรื่องสมุนไพรมากนัก แต่การเริ่มต้นนับหนึ่งกับธุรกิจที่บ้าน ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ในช่วงแรกธุรกิจเป็นไปอย่างอุตสาหกรรมครอบครัวอย่างแท้จริง พอผลิตยาสีฟันเสร็จกรก็จะขับรถพาแม่ไปขายตามงานต่างๆ

“ผมกับคุณแม่เคยขับรถจากหาดใหญ่ ไปออกบูธที่เชียงราย สลับกันขับสองคน พอไปถึงเราหมดแรงแล้ว แต่คุณแม่ยังต้องออกบูธอยู่ เราก็เลยคิดขึ้นมาว่า เราจะทำได้จริงๆ หรือ เรากลับไปทำอาชีพของตัวเองดีกว่าไหม” กรกล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดทบทวนให้ดี กรเห็นเทรนด์ของตลาด เขามองว่าผู้คนเริ่มหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เทรนด์ของสมุนไพรกำลังมา และเทพไทยก็มีความแข็งแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อเป็นธุรกิจของครอบครัว ถ้าเขาไม่ช่วยที่บ้าน แล้วจะไปภาวนาให้ใครมาช่วย

“อย่างน้อย เราก็อยากสานฝันของคุณแม่ให้เป็นจริง ดังนั้นเราก็เลยลงมุ่งมั่นกับการทำธุรกิจนี้เป็นต้นมา”

ประเด็นที่น่าสนใจคือ จะทำอย่างไร สินค้าจะประสบความสำเร็จ?

เมื่อคิดจะทำเต็มตัวแล้ว กร คุณแม่ และทุกคนในบ้านจึงมานั่งล้อมวงคุยกัน และใช้หลักการ SWOT เข้ามาวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง

SWOT คือการวิเคราะห์ 4 ด้าน คือ จุดแข็ง (Strengths), จุดอ่อน (Weaknesses), โอกาส (Opportunities) และ ปัญหา-อุปสรรค Threats

เมื่อวิเคราะห์ตัวเองได้ครบแล้ว ก็จะรู้ว่าควรเดินหน้าองค์กรไปในทิศทางไหน

จุดแข็ง (S) ของยาสีฟันเทพไทย คือ เป็นโปรดักต์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นสินค้าที่ทำจากสมุนไพร ไม่มีสารเคมี ซึ่งเทรนด์สุขภาพกำลังได้รับความนิยม ใครใช้ก็ชอบ

จุดอ่อน (W) ของเทพไทย คือมีจุดวางขายน้อยมาก คือต่อให้คนอยากใช้ก็ใช้ไม่ได้ มีวางขายแต่ที่งานโอทอปเท่านั้น ยอดขายต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1 แสนหลอด ถ้าลองคูณ หลอดละ 60 บาท ก็ได้เงินแค่ 6 ล้านต่อปี ซึ่งเมื่อหักต้นทุน และค่าเดินทาง ออกบูธสารพัด รายได้ที่เข้ามาจริงๆ ถือว่าน้อยมาก

โอกาส (O) ข้อแตกต่างที่เทพไทยไม่เหมือนสินค้ายี่ห้ออื่น คือเป็นแบรนด์โอทอป เป็นสินค้าของคนไทยจริงๆ และด้วยความเป็นโอทอปทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภาครัฐได้ง่ายมาก

ปัญหา-อุปสรรค (T) ปัญหาสำคัญคือชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เนื่องจากสินค้าอุปโภคที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย โดยเฉพาะในช่องปาก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนซื้อต้องระวัง ดังนั้นถ้าในราคาใกล้เคียงกัน ทำไมเขาต้องใช้สินค้ายี่ห้อโนเนมด้วย สู้จ่ายเงินซื้อความปลอดภัยจากแบรนด์ระดับโลกไม่ดีกว่าหรือ

เมื่อวิเคราะห์ออกมาได้เป็นข้อๆ อย่างชัดเจนแล้ว กร และครอบครัวก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อทำให้จุดแข็งเด่นชัดยิ่งขึ้น และลดทอนจุดอ่อนที่เคยมีให้เหลือน้อยที่สุด

รู้จุดอ่อนแล้วเดินหน้าแก้ไข

จุดอ่อนของเทพไทย คือการทำตลาด พวกเขาเก่งในเรื่องการผลิต แต่อ่อนด้อยมาก ในแง่การโปรโมท และการวางขายสินค้าให้กระจายไปทั่วประเทศ ดังนั้นหลังการวางแผนกันอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2557 ยาสีฟันเทพไทย จึงจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทแมส มาร์เก็ตติ้ง (Mass Marketing)

แมส มาร์เก็ตติ้ง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการกระจายสินค้า กล่าวคือพวกเขามีคอนเน็กชั่นกับห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ดังนั้นถ้าให้แมส มาร์เก็ตติ้ง เป็นคนวางขายให้ ก็จะเพิ่มช่องทางการซื้อของผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาแค่งานโอทอปอีกแล้ว

แมส มาร์เก็ตติ้ง เป็นพาร์ทเนอร์กับสินค้าดังๆ เช่น ยากันยุง ก.ย.15, ลูกอมมายมิ้นท์ หรือ สบู่ก้อน ดร.มนตรี เป็นต้น ซึ่งทางเทพไทยคิดว่า ถ้าแบ่งรายได้ให้กับแมส มาร์เก็ตติ้ง แต่แลกมากับการขายดีขึ้น ก็น่าจะคุ้มกว่า

ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยของยาสีฟัน 1 หลอด คือ 60 บาท ถ้าผลิตเองขายเอง ก็จะขายได้ 1 แสนหลอดต่อปี 60×100,000 เท่ากับได้เงิน 6 ล้านบาท

แต่ถ้าเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทกระจายสินค้า สามารถส่งโปรดักต์ไปวางขายในเซเว่นอีเลฟเว่น, โลตัส หรือบิ๊กซีได้ ก็จะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านหลอดต่อปี 60×1,000,000 ทำให้ได้เงิน 60 ล้านบาท ซึ่งต่อให้หารกับแมส มาร์เก็ตติ้ง ด้วยสัดส่วน 50%-50% ทางแบรนด์เทพไทย ก็ยังได้เงิน 30 ล้านบาทอยู่ดี ซึ่งมากกว่าตอนทำเอง ขายเองถึง 5 เท่า

ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ทางเทพไทยไม่ต้องใช้พลังงานกับการไปหาจุดวางขายด้วยตัวเอง แต่สามารถเอาเวลาไปโฟกัสกับการผลิต และมีเวลาที่จะคิดค้นโปรดักต์ใหม่ๆ ของแบรนด์ได้ด้วย

การเสริมจุดแข็ง และลบจุดอ่อนในการวางกลยุทธ์แค่ครั้งเดียว ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ใช้โอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์

กร เล่าให้ฟังว่า สำหรับบริษัทที่ตั้งอยู่ที่สงขลา อย่างยาสีฟันเทพไทย จะเสียเปรียบแบรนด์อื่นเกี่ยวกับราคาโลจิสติกส์ ในการขนส่งสินค้าไปทั่วประเทศ เพราะจากสงขลา ก็ต้องมาเข้าศูนย์กลางที่กทม.ก่อน จากนั้นจึงกระจายไปสู่ทุกภูมิภาค

ซึ่งจุดนี้ถ้าโรงงานตั้งอยู่ในกทม. หรือปริมณฑล รายจ่ายเกี่ยวกับโลจิสติกส์ก็จะลดลงอย่างชัดเจน

“จริงๆ เรามีทางเลือกว่าจะย้ายมาอยู่ปริมณฑลก็ได้ แต่บทสรุปของเราคือ เราจะอยู่ที่สงขลาต่อไป” กรเผย

เหตุผลที่เทพไทยไม่ย้ายขึ้นมาเมืองกรุงมี 2 ข้อ ข้อแรกคือ การอยู่ต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงหน่วยงานของภาครัฐได้ง่ายมาก

“จริงๆ ถ้าเราศึกษาหาข้อมูล จะเห็นว่ามีหน่วยงานรัฐที่พร้อมสนับสนุนทุกๆ ด้าน รวมถึงเรื่องเงินทุนด้วย เช่น สภาอุตสาหกรรม หรือ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าเราอยู่ในกรุงเทพฯ โอกาสที่จะเข้าถึงหน่วยงานเหล่านี้อาจจะยากขึ้น แต่พออยู่ต่างจังหวัด ทำให้เราได้เปรียบ”

ส่วนเหตุผลข้อที่สองคือ ยาสีฟันเทพไทยไม่ต้องการลบภาพของตัวเองว่าเป็นสินค้าท้องถิ่น แม้จะขายดีแล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่เป็นหลักให้กับชุมชนต่อไป

“ธุรกิจที่เติบโตแล้วทิ้งถิ่นฐานที่กำเนิดของตัวเอง เข้ามาหากำไร หรือต้นทุนที่ต่ำลงแล้วใครจะเป็นคนที่ช่วยพัฒนาคนในพื้นที่”

“อย่างน้อยเราอยู่เป็นหลักให้ที่นั่น พนักงานผม กลางวันก็กลับไปกินข้าวที่บ้านได้ บ้านก็ไม่ต้องเช่า และต้นทุนค่าครองชีพก็ลดลง โอเคกำไรของบริษัทเราอาจจะลดลงหน่อย แต่ผมเชื่อว่าสุขภาพชีวิตดีๆหาซื้อไม่ได้”

ในมุมของแบรนด์อื่น อาจคิดว่าเมื่อโตแล้ว ก็ควรเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง เพื่อให้โตไวที่สุด แต่กรเชื่อว่า อยู่ที่สงขลาก็สามารถโตได้อย่างมั่นคงเช่นเดียวกัน

เคลียร์อุปสรรค เรื่องคนไม่รู้จักสินค้า

จุดสำคัญของยาสีฟันเทพไทย ที่กร และครอบครัวต้องการแก้ไขให้ได้ คือเรื่องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับวงกว้างให้มากที่สุด

แม้พวกเขาจะขายสินค้าได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มคนแคบๆ คือแฟนคลับกลุ่มเดิมๆ และสายคนรักสุขภาพ แต่ถ้าชาวบ้านทั่วไป ก็ต้องยอมรับว่า ยาสีฟันเทพไทย ยังไม่ได้มีชื่อติดหูมากนัก

หลังจากคิดทบทวนกัน ทางแบรนด์จึงตัดสินใจว่า น่าจะลองจ่ายเงินจ้างพรีเซ็นเตอร์ระดับตัวท็อปของวงการเข้ามาเลยดีไหม เอาให้เปรี้ยง คนรู้จักกันทั่วทั้งบางไปเลย

ปลายปี 2557 ยาสีฟันเทพไทย จ่ายเงินจ้างเมญ่า-นนธวรรณ มิสไทยแลนด์เวิลด์คนล่าสุด ณ เวลานั้น มาถ่ายโฆษณาสินค้าให้ ซึ่งก็เริ่มทำให้คนรู้จักสินค้ามากขึ้น

การเลือกพรีเซ็นเตอร์ทำอย่างรอบคอบ เมญ่าเป็นคนนครศรีธรรมราช แต่ก้าวไปเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ได้อย่างสง่างาม ซึ่งยาสีฟันเทพไทยก็จะสะท้อนตัวเองว่า สินค้าที่มีจุดเริ่มต้นจากภาคใต้ แต่ก็สามารถก้าวไปสู่เวทีระดับชาติได้เช่นเดียวกัน

ปัญหาของสินค้าโอทอป คือจะมักจะมองการขายแค่ในระดับท้องถิ่น การโฆษณาก็จะใช้การออกอีเวนต์ หรือการเปิด Kiosk ทั่วไป แต่ยาสีฟันเทพไทยไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาใช้การโฆษณากับศิลปินแม่เหล็ก เพื่อให้คนนอกชุมชน ได้รู้จักสินค้ามากขึ้นด้วย

จากนั้นในปี 2558 ยาสีฟันเทพไทยทำโฆษณาด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์วัยรุ่น คือแอนเดรีย-ชาคริยา เดชมาก และ โอม หะริน-จงเจริญรัตน์ ซึ่งตัวกรก็ยอมรับว่า ก็ได้รับความนิยมประมาณหนึ่ง

และเข้าสู่ปี 2561 คราวนี้ ยาสีฟันเทพไทย ก้าวไปอีกขึ้นด้วยการดึงสองนักแสดงชั้นนำของประเทศคือ เบลล่า-ราณี แคมเปญ และ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารส มาเป็นพรีเซ็นเตอร์พร้อมกัน

“ตอนนั้นละครบุพเพสันนิวาส กำลังดังมากทางช่อง 3 เราเห็นคุณเบลล่าแล้วคิดว่า เขาเป็นคนที่มีคาแรคเตอร์เหมาะกับสินค้าเรามากๆ คือมีความเป็นไทย แต่ก็มีความทันสมัยอยู่ในคนเดียวกัน เหมือนกับยาสีฟันสมุนไพรของเรา ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นไทยมากๆ แต่ก็มีความโมเดิร์น เพราะเราก็มีสูตรมิกซ์ฟรุ๊ต เป็นรสผลไม้รวม และ รสสเปียร์มินท์ ซึ่งวัยรุ่นชอบด้วย คือไม่ได้มีแต่รสดั้งเดิมอย่างเดียว”

“เราติดต่อกับเอเยนซี่ ตอนแรกอยากได้คุณเบลล่า และคุณโป๊ป พระเอก-นางเอก ของบุพเพสันนิวาสมาพร้อมกันเลย แต่คุณโป๊ปติดงานพอดี ทางเอเยนซี่แจ้งมาว่า เราสนใจคุณเวียร์แทนไหม เราก็โอเคเลย เพราะเราจะได้ฐานแฟนๆทั้งช่อง 3 และ ช่อง 7 อีกอย่างทั้งสองคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว เราจะได้ลูกค้าอีกกลุ่มที่เชียร์ทั้งคู่ด้วย”

การใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์ระดับแถวหน้า แน่นอนว่าใช้เงินจ้างมหาศาลมาก มากเสียจน กร ขออนุญาตไม่บอกตัวเลขกับเรา ว่าเท่าไหร่กันแน่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แลกกลับมาก็คุ้มค่ามาก เพราะเทพไทย กลายเป็นสินค้าที่คนรู้จักเพิ่มขึ้นมากมาย และยอดขายก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว

กลายเป็นว่าปัญหาและอุปสรรคที่เคยมี ตอนนี้ก็เคลียร์ได้แล้วเรียบร้อย

” การใช้พรีเซ็นเตอร์ก็มีส่วน การยิงสปอตโฆษณาอย่างต่อเนื่อง การให้ผู้บริโภครู้ว่าเราทำอะไร เป็นสิ่งสำคัญ” กรกล่าว

วันพรุ่งนี้ของแบรนด์เทพไทย

คำถามในช่วงท้าย ของผู้สัมภาษณ์กับกร สุริยพันธุ์ คือเป้าหมายต่อไปในวันพรุ่งนี้ของยาสีฟันเทพไทยคืออะไร

“อนาคตของยาสีฟันเทพไทย ยังไงก็ต้องไประดับโลกให้ได้ อันดับแรกเราอาจจะเริ่มที่ใกล้ๆ บ้านเราก่อน CLMV (กัมพูชา-ลาว-เมียนมาร์-เวียดนาม) แล้วค่อยขยับไปทีละสเต็ป”

“เป้าหมายของเราคือต้องการให้ยาสีฟันสมุนไพรไทย ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ แบรนด์ของเราจะต้องเป็นแบรนด์ของคนไทยที่ไปอยู่จุดนั้นให้ได้”

จากจุดเริ่มต้นที่ทำยาสีฟันในบ้าน ไปเร่ขายในตลาดนัด เมื่อไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นเดินหน้าต่อ และหาช่องทางที่ถูกต้องพบ บวกกับการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองที่แม่นยำ ทำให้ยาสีฟันเทพไทย ปัจจุบันมียอดขายอันดับ 3 ในประเทศเรียบร้อยแล้ว

ถือเป็นย่างก้าวที่มาไกลมากๆ จากสินค้าโอทอป ที่วันนี้ไม่ได้เป็นแค่ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอีกต่อไป

“เราไม่ได้กังวลเรื่องยอดขาย หรือคู่แข่ง แต่สิ่งที่เราทำคือต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะผมมองว่าถ้าเราหยุดพัฒนา ถ้าเราบอกว่าวันนี้เราโตแล้ว เราพอแล้ว วันนั้นล่ะ จะเป็นวันที่คู่แข่งวิ่งแซงเรา”





Source link