“เดนทิสเต้” หากใครได้ยินชื่อนี้ก็คงจะนึกว่านี่คงเป็นแบรนด์ “ยาสีฟัน” ของต่างชาติเป็นแน่ นั่นก็เพราะว่าชื่อแบรนด์ DENTISTE’ มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “หมอฟัน” แต่รู้หรือไม่ว่า? เดนทิสเต้กลับเป็นแบรนด์ของคนไทย ที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาโดย “เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” และส่งลงตลาดเมื่อปี 2548 ผ่านการวางจุดยืนโดยการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียม
เภสัชกร ดร.แสงสุข ผู้สวมหมวกกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เล่าว่า ในอดีตยาสีฟันที่วางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมีราคาแค่หลอดละ 20-30 บาท แต่เดนทิสเต้เปิดตัวพร้อมกับวางขายยาสีฟันในราคา 175 บาท หากเทียบกันแล้วราคาค่อนข้างสูง และการจูงใจผู้บริโภคให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ยาสีฟันที่เคยใช้ประจำมาลองใช้แบรนด์ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เดนทิสเต้แตกต่างและอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องของ “คุณภาพ” ที่สมราคา บวกกับการมี “innovation” รวมทั้ง “จุดยืน” ที่ชัดเจน
นั่นจึงทำให้ความไม่ย่อท้อในวันนั้น จากการเก็บสะสมยาสีฟันทั่วทุกมุมโลกกว่า 800 หลอด เพื่อที่จะนำมาศึกษา และลองใช้งาน นำไปสู่ยาสีฟันคู่ครัวเรือนในระดับพรีเมียม ที่ไม่ใช่แค่ขายดีในไทยแต่ยังดังไกลถึงต่างแดน
และด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะแตกต่าง แต่ยังคงคุณภาพความพรีเมียมสมราคา เดนทิสเต้จึงตัดสินใจดึง “ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งหากนับช่วงเวลาก็เข้าปีที่ 3 แล้ว
ส่วนเหตุผลอะไรที่ทำให้เดนทิสเต้เลือกลิซ่านั้น เภสัชกร ดร.แสงสุข เล่าว่า มีทันตแพทย์คนหนึ่งบอกว่า “คนในโลกนี้ที่ยิ้มแล้ว ซ้ายขวา บนล่าง ฟันสวยเท่ากันหมดทุกซี่เป็นระเบียบคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลิซ่า”
ดังนั้นการมีลิซ่าถือเป็นการสร้าง Branding ที่ชัดเจนกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะการไปทำตลาดในต่างประเทศ เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็ได้รับการตอบรับที่ดี อย่างเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เดิมทีเป็นตลาดที่ยากพอตัว แต่เมื่อรู้ว่าเดนทิสเต้มีลิซ่า การทำการตลาดก็ไม่ยากอีกต่อไป เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักลิซ่า เช่นเดียวกับเกาหลี ที่ยอดขายเราเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด มาร์เก็ตแชร์สูงถึง 12% ขณะที่ในไทยมีมาร์เก็ตแชร์เพียง 7-8% เท่านั้น
“เราได้ทำการสำรวจพบว่า Gen Z และ Gen Y สิ่งที่พวกเขากังวลมาเป็นอันดับหนึ่ง คือ กลิ่นปาก และภาพลักษณ์ เดนทิสเต้จึงนำอินไซต์นี้มาเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ในการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในพรีเมียมเซกเมนต์ (Premium Segment) มากขึ้น บวกกับดึงพรีเซนเตอร์มาใช้ให้ตรงกลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมาจากการมีลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ช่วยผลักดันให้มูลค่าแบรนด์เดนทิสเต้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว และดันยอดขายได้จริงประมาณ 50-100% เลยทีเดียว”
ทุ่ม 200 ล้าน จัดแฟนมีต “ลิซ่า” 3 ชั่วโมงเต็ม
ล่าสุดจึงได้ทุ่ม 200 ล้านบาท จัดกิจกรรม DENTISTE’ Presents LISA Fan Meetup in Asia 2024 – Bangkok ในไทย รวมระยะเวลากว่า 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของลิซ่าในฐานะศิลปินเดี่ยว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ที่ไบเทค ไลฟ์ บางนา ชูกลยุทธ์ Soft Power เจาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ด้วย Fan Meet โดยในปีนี้ มีไฮไลต์และมีความพิเศษหลายด้าน 3 เอ็กซ์คลูซีฟ มากกว่าประเทศอื่น โดยจัดหนักกิจกรรมสุดพิเศษทั้งในงานแฟนมีต และเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้ และจัดชุดผลิตภัณฑ์พิเศษ
ไม่ว่าจะเป็น ฟินต่อที่ 1 Top Spenders เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้ใดก็ได้ที่ร่วมรายการ สะสมยอดซื้อผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้สูงสุด 150 อันดับแรก โดยแบ่งสิทธิพิเศษ อาทิ สิทธิ์เข้างาน Fan Meet งานพรีอีเวนต์ และงาน After Party พร้อมถ่ายรูปคู่กับลิซ่าแบบตัวต่อตัว และลายเซ็นสดบนเวทีจากลิซ่า
ฟินต่อที่ 2 VVIP Box Set และ VIP Box Set เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้ เฉพาะสินค้า VVIP Box Set ราคา 29,000 บาท และ VIP Box Set ราคา 19,500 บาท รับสิทธิ์เข้างาน Fan Meet งานพรีอีเวนต์ และงาน After Party พร้อมรับ Diamond Collection Set ฯลฯ
ฟินที่ 3 Lucky Draw เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เดนทิสเต้ใดก็ได้ที่ร่วมรายการมูลค่า 900 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จรับเงิน สามารถร่วมสนุกกับการจับรางวัล ลุ้นสิทธิ์เข้างาน Fan Meet และงาน After Party จำนวน 100 รางวัล
เพราะภาพลักษณ์นั้นสำคัญ ดันตลาด “ยาสีฟัน” โตแรง
ปัจจุบัน เดนทิสเต้ สามารถสร้างสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 50% ซึ่งเกาหลีเป็นตลาดหลัก รองมาคือญี่ปุ่น และในประเทศ 50% โดยที่เดนทิสเต้ขยายตลาดไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก
ส่วนภาพรวมผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก (Oral Care) ทั่วโลก มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเซกเมนต์ยาสีฟันถือเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 10,000-11,000 ล้านบาท และมีการเติบโตทุกปี 5% โดยยาสีฟันระดับพรีเมียมมีสัดส่วนราว 10-20%